วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนครั้งที่ 2 วันพุธที่ 24 มกราคม 2561






ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษาการบริหาร คืออะไร
การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา 
ความหมายของ การบริหารมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
-การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
-การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
-การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
-จากความหมายของ การบริหารพอสรุปได้ว่า การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้

ส่วนความหมายของ การศึกษามีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน ดังนี้
-การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
-การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
-การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
-จากความหมายของ การศึกษาข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี

ความหมายของการบริหารสถานศึกษา
การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม 

ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร  สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี



หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
         —หลักการบริหารงานบุคคล
            สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัด การที่ดี
     เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
            1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal / Expected / Output)
            2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
            3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)
            4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
            5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่



ขอบข่ายของการบริหาร
  กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 5 งาน ได้แก่
1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
4. วินัยและการรักษาวินัย
5. การออกจากราชการ

ขอบข่ายของการบริหาร
                      สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 6 งาน ได้แก่
       1. การวางแผนกำลังคน
       2. การสรรหา
       3. การบรรจุแต่งตั้ง
       4. การพัฒนา
       5. การธำรงรักษา
       6. การให้พ้นจากงาน
    
         สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
             
        1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
   
        2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วย ครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา
     
       การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)
                •เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์
                • เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์



           ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา
           ความหมายของทฤษฏี
              •กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
              • เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ
                                                                                                                                                                            
           ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
              •ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน
              • ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย
       
           พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร 
1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)
Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ หลัก 4 ประการ
1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
2. มีการวางแผนการทำงาน
3. คัดเลือกคนทำงาน
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)
•Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
         • Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
         • Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol  โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ
       
        2.ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ(Bureaucratic management)
            •Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
             1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
             2. ความไม่เป็นส่วนตัว
             3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
             4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
             5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
             6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
             7. ความเป็นเหตุเป็นผล

         ข้อเสียของระบบราชการ
              • ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
              • การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี
              • การมีสายการบังคับบัญชา ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง
              • การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร

          ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
            -ความเหมือน
               1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ
               2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน
               3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
               4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร
          -ความต่าง
               Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
                Fayol   : เน้นหลักการ 14 หลักการ
                Weber   : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล

         ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
• ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
• การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
• ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
• หลักพฤติกรรมศาสตร์

1. ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early behavioral theories)
•Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะ
สมกับงาน
• Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมี
ส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)
การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อ
ประสิทธิภาพในการทำงาน
• ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human relation movement)
• Abraham Maslow :  มาสโลว์ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
• Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์ ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
— เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
— ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
— เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติ
ของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
— ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
— ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก
— ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
— คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อน
ร่วมงาน
— คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
4. หลักพฤติกรรมศาสตร์  (Behavioral science approach)
• เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ 
สาขาต่างๆ เมื่อ
นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke

ทัศนะเชิงปริมาณ (Quantitative viewpoint)
การบริหารศาสตร์
• การบริหารปฏิบัติการ
• ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร

1.การบริหารศาสตร์ (Management science)
มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ ซึ่งแพร่
หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมาก
ขึ้น

2. การบริหารปฏิบัติการ (Operation management)
• ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
• กำหนดตารางการทำงาน
• วางแผนการผลิต
• การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
• การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต
• การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผนและควบคุมโครงการ

3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร(management Information System)
สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้
ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs)

ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
ทฤษฏีเชิงระบบ
ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์
ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่

1. ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)
ระบบแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ระบบเปิดและระบบปิด
— ระบบเปิดและระบบปิดไม่ได้แยกออกจากกัน  มีลักษณะอยู่ 9 ประการ
- มีปัจจัยป้อนเข้าจากภายนอก
- มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลผลิต
- ปัจจัยป้อนออกเป็นผลผลิตหรือบริการ
- มีวงจรต่อเนื่อง
- มีการต่อต้านแนวโน้มสู่ความเสื่อมของระบบ
- ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับตัว
- มีแนวโน้มสู่ความสมดุล
- มีแนวโน้มสู่คามซับซ้อน
- มีหลายเส้นทางเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย

รูปแบบการวิเคราะห์ระบบ
มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต
• ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน
• ประเมินเวลา
• ประเมินการใช้งบประมาณ
• ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ
• ประเมินผลผลิตหรือผลงาน

2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)
หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้นในสถานการณ์ที่ต่างไป ผู้บริหารอาจ
กำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะกับ
โครงสร้าง เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ

ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
ทฤษฏี Z  ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchi
โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วน
ร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็น
ทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว


การประเมิน
ประเมินตนเอง
มาเรียนตรงเวลาตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์บรรยายและจดบันทึกตาม
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆตั้งใจเรียนและจดบันทึกการเรียนอย่างตั้งใจ
ประเมินอาจารย์ 
อาจารย์อธิบายได้เข้าใจในเรื่องที่จะสอนได้ดีมาก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น